วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

เปิดปมไล่ผอ. ไม่ฟังเสียงใคร



ผอ.สพป.เขต 1 ชี้ผู้บริหารลำปางมีความสามารถ แต่บางคนยังขาดความเข้าใจในการสร้างทีมงาน และพัฒนาบุคลากร  รวมทั้งใช้ความเป็นผู้นำมากเกินไปเกิดการไม่รับฟังความคิดเห็นจากผู้ร่วมงาน แนะหากจะเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ต้องพิจารณาร่วมกัน  เผยกรณีการขับไล่ ผอ.โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตอารีย์ เป็นบทเรียนสำคัญของผู้บริหาร

หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่มีการชุมนุมประท้วงของนักเรียนได้ออกมาขับไล่ผู้บริหารโรงเรียนใน จ.ลำปางแล้วถึง 2 ครั้ง จึงทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการบริหารทางด้านการศึกษาของ จ.ลำปาง ว่ามีคุณภาพมากน้อยเพียงใด ผู้สื่อข่าวลานนาโพสต์จึงได้สอบถามความเห็นดังกล่าวไปยัง นายสมบัติ สุทธิพรมณีวัฒน์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 ในฐานะที่เป็นนักการศึกษา เกี่ยวกับคุณภาพด้านการศึกษาและการบริหารการศึกษาโดยภาพรวมของ จ.ลำปาง

นายสมบัติ กล่าวว่า  ถ้ากล่าวถึงภาพรวมการศึกษาของ จ.ลำปาง ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าภาคภูมิใจ เรามีการศึกษาทุกระดับตั้งแต่ประถมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา  นอกจากนั้นยังมีการศึกษาตามอัธยาศัย  ในส่วนของอุดมศึกษาก็มีหลายแห่ง สำหรับระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา มีกระจายอยู่ทั้ง 13 อำเภอ แบ่งเป็น 3 เขตพื้นที่  นอกจากนั้นก็ยังมีโรงเรียนเอกชนกระจายอยู่ทุกอำเภอ แต่ที่อำเภอเมืองจะมีมากที่สุด และยังมีระดับอาชีวศึกษาอีกหลายแห่ง อีกทั้งยังมีโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนการกุศล เช่น โรงเรียนวัด  โดยแต่ละแห่งมีจุดเด่นและมีคุณภาพแตกต่างกันไป 

หากพูดถึงคุณภาพการศึกษาของลำปางโดยส่วนใหญ่ถือว่าดี ในระดับมัธยมศึกษามีหลายโรงเรียนที่อยู่อันดับต้นๆของประเทศ เช่น โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยอยู่อันดับที่ 6 จากการประเมินคุณภาพทั่วประเทศ คุณภาพสูงกว่าหลายโรงเรียนในกรุงเทพฯ และยังมีโรงเรียนอื่นๆที่มีคุณภาพชัดเจน เช่น โรงเรียนลำปางกัลยาณี โรงเรียนอัสสัมชัญ  ในระดับอำเภอก็เช่นกัน เช่น โรงเรียนเสริมงามวิทยาคม  ส่วนโรงเรียนเอกชนก็เช่น โรงเรียนไตรภพวิทยา โรงเรียนพินิจวิทยา  ซึ่งในเขตพื้นที่การศึกษา เขต 1 ในการสอบวัดผลการสอบ O-NET ครั้งที่ผ่านมา  ค่าเฉลี่ยของคะแนนเกือบทุกวิชาสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ  แสดงถึงคุณภาพทางการศึกษาของลำปางที่ดี   ระดับประถมโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของ สมศ. กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ มีหลายโรงเรียนที่ได้รับรางวัลระดับภาค เช่น โรงเรียนอนุบาลลำปางฯ ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทานระดับประถมศึกษา และทราบว่าปีนี้ยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศโรงเรียนพระราชทานระดับปฐมวัย  และยังมีโรงเรียนขนาดเล็กได้รับรางวัลพระราชทานระดับประเทศคือ โรงเรียนบ้านเหล่า อ.ห้างฉัตร  ซึ่งก็เป็นความภาคภูมิใจของเขตพื้นที่การศึกษาและจังหวัดลำปาง  ผอ.สพป.เขต 1 กล่าว

เมื่อสอบถามถึงคุณภาพด้านบุคลากร   ผอ.สพป.เขต 1 กล่าวว่า  ถ้าวัดด้านการศึกษาบุคลากรกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ จบระดับปริญญาตรี แต่บางโรงเรียนมีครูไม่เพียงพอ ขาดครูที่จบในระดับปริญญาตรีในสาขาที่สำคัญ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ  ทุกเขตพื้นที่ในจังหวัดได้แก้ไขโดยการพัฒนาครูในหลายรูปแบบ ทั้งการศึกษาทางอินเตอร์เน็ต การประชุมอบรม ส่งเสริมให้ครูได้ทำนวัตกรรมการเรียนการสอนควบคู่กับการทำวิจัย บางโรงเรียนได้จัดหาทุนสำหรับจ้างบุคลากรมาจากที่อื่นมาช่วยสอน   รัฐบาลก็ได้แก้ปัญหาในระดับหนึ่งโดยการจัดให้มีการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม  เรื่องการพัฒนาการเรียนการสอนยังได้รับความร่วมมือจาก ม.ราชภัฎลำปาง ทำโครงการพัฒนาการเรียนการสอนและสื่อนวัตกรรมอีกหลายโครงการ ถือว่าลำปางโชคดี

หากมองถึงการบริหารงานของผู้อำนวยการโรงเรียน  คุณภาพของผู้บริหารโรงเรียน ถ้ามองโดยส่วนใหญ่อยู่ในคุณภาพที่ดี ซึ่งลำปางผ่านการประเมินในเรื่องของความสามารถด้านการบริหารจัดการมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน แต่อาจจะมีบ้างบางส่วนที่ยังมีปัญหาอยู่  สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นในโรงเรียน 2 แห่งที่เกิดการประท้วงขับไล่ผู้บริหารขึ้น ซึ่งผู้บริหารของทั้งสองโรงเรียนเป็นคนมีความสามารถ มีคุณภาพ  แต่ต้องศึกษาให้ลึกว่าเหตุเกิดเพราะอะไร  อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมายาวนาน  

นายสมบัติ กล่าวต่อไปว่า  สำหรับโรงเรียนผดุงวิทย์ เป็นกรณีของหลวงพ่อเจ้าอาวาสผู้ได้รับใบอนุญาต ซึ่งท่านมีปัญหาเรื่องสุขภาพจึงได้ให้คนที่ไว้วางใจเข้ามาช่วยงาน เมื่อคนนอกเข้ามาทำงานในองค์กร โดยไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆในนั้น เป็นธรรมชาติที่คนในองค์กรจะไม่พึงพอใจ เมื่อครูเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ส่งเสริมให้นักเรียนได้รับสวัสดิการที่ดี จึงเกิดการเรียกร้องให้คนไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป  ทุกวันนี้คิดว่าได้แก้ไขปัญหากันเรียบร้อยแล้ว โดยการประสานงานของหลายฝ่ายทั้ง สพป.ลำปางเขต 1  ศูนย์ดำรงธรรม  มทบ.32   สนง.พระพุทธศาสนาลำปาง

ด้านโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารี  ผู้บริหารหญิงของโรงเรียนเป็นคนเก่ง มีความสามารถทางด้านวิชาการสูง  มุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนให้สูงขึ้น ซึ่งการบริหารการศึกษามีหลายตัวแปรที่จะทำให้เดินหน้าไปได้ บุคลากรก็เป็นตัวแปรหนึ่งที่สำคัญ  ซึ่ง ผอ.ยังไม่สามารถประสานความสัมพันธ์ของบุคลากรในโรงเรียนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้  กิจกรรมบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงเชื่อว่า ผอ.มีเหตุผล แต่ทำให้ทางบุคลากรและนักเรียนมีความรู้สึกว่าแย่ลง  โดยทางเด็กนักเรียนไม่ได้กล่าวหาว่า ผอ.ทุจริต เพียงแต่เด็กไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น และ ผอ.ก็ไม่ได้มีการชี้แจงให้เด็กเข้าใจ จึงเกิดความไม่พอใจกันขึ้นจนถึงการประท้วง ทาง สพป.เขต 1 ก็ได้ไปร่วมรับทราบปัญหา ช่วยดูแล และเก็บข้อมูลรายงานให้ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพฐ.)ทราบ  ในที่สุดก็แก้ปัญหากันได้โดยทาง สพฐ.ได้ส่ง ผอ.สำนักการศึกษาพิเศษมาแก้ปัญหาร่วมกัน  เนื่องจากไม่มีหน่วยงานที่สูงกว่าในระดับจังหวัด  และได้รับปากว่าจะย้าย ผอ.ท่านนี้ออกไปเรื่องจึงยุติได้

เมื่อสอบถามถึงสาเหตุของการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว  นายสมบัติ แสดงความคิดเห็นว่า เรื่องสำคัญคือการสร้างความเข้าใจ การสร้างทีมงาน  ผู้บริหารบางท่านอาจจะเก่งในด้านในด้านหนึ่ง แต่ถ้าบริหารจัดการคนไม่เก่งก็จะเกิดปัญหาขึ้นได้  ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นก็คือเรื่องของความรู้สึก ตามจริงแล้ว ผอ.โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารีก็ไม่ได้มีความผิดในเชิงระเบียบกฎเกณฑ์ ความซื่อสัตย์ก็น่าเชื่อถือได้ ด้านศีลธรรมจริยธรรมก็ไม่มีปัญหาด้านนี้  แต่การที่ไม่พูดคุยกับบุคลากรและนักเรียน หรือการใช้คำพูดไม่เหมาะสมขัดกับความรู้สึกของครูและนักเรียน จึงทำให้เกิดปัญหา เมื่อสะสมมากขึ้นก็ทำให้ภายในองค์กรเกิดการแตกหักขึ้นได้ เนื่องมาจากความไม่เข้าใจกัน   เรื่องบุคลากรก็มีส่วนในการเกิดปัญหา ซึ่งเมื่อ ผอ.เข้ามาบริหารงานก็อาจจะมีบุคลากรบางคนได้รับผลกระทบทางด้านผลประโยชน์ เช่น เรื่องการทำงานเมื่อก่อนอยู่สบายเกินไป แต่พอ ผอ.เข้ามาเร่งรัดเรื่องคุณภาพการสอนก็ต้องรีบเร่งทำงานมากขึ้น อาจจะเป็นเรื่องจริง  ลำพังครูก็คงไม่ทำให้เด็กลุกฮือขึ้นมาถึงขนาดนี้ได้ จะต้องมีเหตุที่กระทบไปถึงในส่วนของนักเรียนด้วย  ผอ.สพป.เขต 1 กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่าคิดว่าการกระทำของเด็กเป็นพฤติกรรมลอกเลียนแบบหรือไม่    ผอ.สพป.เขต 1 กล่าวว่า  ไม่ใช่การลอกเลียนแบบ เด็กทั้งสองโรงเรียนไม่มีการเชื่อมโยงกัน หากมองไปที่โรงเรียนผดุงวิทย์การเริ่มต้นจะเกิดจากผู้ใหญ่ ซึ่งมีครูร่วมเป็นผู้นำ ส่วนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตอารีย์ เป็นการเริ่มต้นของกลุ่มนักเรียน แต่ครูจะเข้ามาสนับสนุนภายหลัง  แต่เด็กก็สามารถเรียนรู้ในเรื่องราวลักษณะเช่นนี้ได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น อินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ การติดตามข่าวสารต่างๆ  มองในแง่ดีก็เป็นการแสดงออกในการเรียกร้องสิทธิที่ถูกที่ควรหากไม่ได้สร้างความรุนแรง  หากเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ต้องเรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งมีวิธีทำได้หลายทาง เช่น แจ้งให้ผู้ที่มีอำนาจเข้าไปแก้ปัญหา  เมื่อไม่ได้รับการแก้ไขก็มีการรวมกลุ่มกัน แต่ไม่แสดงความก้าวร้าว  เด็กโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารีโดยรวมแล้วก็ไม่ได้ก้าวร้าว  ดูแล้วเป็นการแก้ปัญหาพัฒนาการของสังคม  หากไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นเด็กก็อาจจะสะสมความไม่เข้าใจ ความรู้สึกกดดัน ที่แสดงออกแบบนี้ ดีกว่าไปแสดงออกในด้านอื่นที่เป็นด้านลบมากกว่า  ผู้นำนักเรียนถือว่าเป็นเด็กที่มีความรู้ความสามารถ การพูดจาแสดงความสมเหตุสมผลได้ดีมาก

นายสมบัติ ยังได้กล่าวแสดงข้อแนะนำไปยังผู้บริหารด้วยว่า  ในส่วนของ ผอ.โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารีเป็นคนดีและมีความตั้งใจสูงในการพัฒนาโรงเรียน แต่ก็มีข้อไม่สมบูรณ์ในเรื่อง การชี้แจงทำความเข้าใจ  การไม่พัฒนาทีมงาน เรื่องความขัดแย้งของบุคลากรในองค์กรนั้น เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกแห่ง หากมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นในโรงเรียนก็มักจะมีกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมรับ แต่ถ้ามีการชี้แจง ให้ความเป็นธรรม และให้เหตุผลว่าทำไปเพราะสาเหตุใด คนที่ไม่ยอมรับก็คงไม่มีพลังพอที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านได้  จะไปโทษว่าบุคลากรไม่ดีก็ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะทางผู้บริหารเองที่ต้องมีหน้าที่ในการพัฒนาบุคลากรในองค์กรของตัวเองให้ได้ หากพบว่าสิ่งใดไม่ดีก็ต้องมีการแก้ไข มีเทคนิควิธีการในการบริหาร มีการเปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น อาจจะในรูปแบบของการประชุมสัมมนา  เรื่องราวต่างๆที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สั่งการเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องทำความเข้าใจและให้บุคลากรช่วยกำหนดเป้าหมายในการพัฒนา ทำการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งขององค์กรร่วมกัน เพื่อให้เกิดความสำเร็จตามเป้าหมาย และให้เกิดการพัฒนาด้านการศึกษาและบุคลากรให้ทันตามโลกในยุคปัจจุบัน

เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆแล้ว ผอ.ต้องไปชี้แจงกับเด็กด้วยตนเอง ไม่ควรหนีปัญหา ควรรับฟังความคิดเห็นของเด็กด้วย  สิ่งที่สำคัญในการจะอยู่ร่วมกันได้ง่ายๆ 3 ข้อ  ประกอบด้วย เข้าใจ คือ ต้องศึกษาวิเคราะห์  เข้าถึง คือ ให้ทุกคนรับทราบถึงปัญหา  พัฒนา คือ ทำให้เกิดการพัฒนาร่วมกันได้

สำหรับเหตุการณ์นักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตอารีย์ ออกมาขับไล่นางสุรางค์ วิสุทธิสระ ผอ.โรงเรียน ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ม.ค.58 ที่ผ่านมา โดยทางนักเรียนได้ร่างหนังสือถึงความไม่พอใจในการกระทำของ ผอ.โรงเรียน มากถึง 24 ข้อ  เช่น  ไม่มีงบประมาณด้านการเรียนการสอน  ไม่สนใจนักเรียน สร้างแต่อาคาร  ห้องน้ำไม่เพียงพอ  ของใช้ในเรือนนอนเสียเก็บเงินนักเรียนซ่อม  นักเรียนไม่สบายไม่ยอมให้ไปโรงพยาบาล  ลดปริมาณของใช้ประจำเดือน   ไม่รับฟังความคิดเห็นนักเรียน   ไม่ประหยัดไฟทั้งที่บอกให้นักเรียนประหยัด ไม่รับนักศึกษาฝึกสอน  ส่งเสริมให้เรียนวิชาพฤกษศาสตร์แต่ตัดต้นไม้ในโรงเรียนทิ้ง ถมสระทำลายระบบน้ำเสีย เป็นต้น  ทางด้านนายประภาส อึ้งตระกูล ป้องกันจังหวัดลำปาง ได้เดินทางมาเจรจากับเด็กนักเรียนเพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าวไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งทางกลุ่มนักเรียนยินยอมสลายตัวกลับไปเรียนตามปกติ  แต่ทางกลุ่มนักเรียนก็ได้ออกมารวมตัวกันอีกครั้งในวันที่ 27 ม.ค.58  เพื่อขับไล่ผอ.โรงเรียน ให้ได้  หลังจากช่วงเย็นวันที่ 26 ม.ค. นางสุรางค์ วิสุทธิสระ  ผอ.โรงเรียนได้ไปรับตัวผู้ปกครองของแกนนำนักเรียนมาที่โรงเรียน และให้นำตัวเด็กนักเรียนชั้น ม.6 ที่เป็นแกนนำกลับบ้านไปก่อน จึงทำให้เด็กเกิดเสียความรู้สึกที่ทางผู้บริหารโรงเรียนรับปากว่าจะไม่ลงโทษใดๆ แต่กลับแจ้งเรื่องให้ผู้ปกครองทราบ จึงยืนยันจะให้ ผอ.ย้ายออกจากโรงเรียนโดยเร็วที่สุด

กระทั่งเวลา 17.30 น.วันที่ 27 ม.ค.58 นายพะโยม ชิณวงศ์ ผอ.สำนักบริหารการศึกษาพิเศษ เดินทางมาที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตอารีย์ฯ ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง เพื่อรับฟังปัญหาของนักเรียน  โดยได้ร่วมประชุมกับหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น ป้องกันจังหวัด ผอ.สำนักพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1  รอง ผบ.มทบ.32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี  เจ้าหน้าที่ตำรวจ และรอง ผอ.โรงเรียน เพื่อร่วมกันหาทางออก  และได้รับฟังปัญหาจากตัวแทนนักเรียน จากนั้นนายพะโยมได้รับปากว่าจะแก้ปัญหาตามที่นักเรียนร้องขอ คือย้าย ผอ.โรงเรียน ภายในวันที่ 28 ม.ค.58  ซึ่งกลุ่มนักเรียนต่างดีใจพากันปรบมือ และพร้อมใจกันกล่าวขอบคุณ

นายพะโยม ชิณวงศ์  กล่าวว่า หากไม่มีการย้าย ผอ.ออกไป ผอ.ก็อยู่ที่นี่ลำบาก เพราะเด็กเกิดความไม่ศรัทธาไปแล้ว ซึ่งต้องดูแลให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการทำผิดร้ายแรง แต่เป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า ในส่วนที่รับกันไม่ได้แล้วก็ต้องแก้ปัญหา โดยการเปลี่ยนผู้บริหาร

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1014 ประจำวันที่ 30 มกราคม  -  5  กุมภาพันธ์ 2558)   
 



Share:

ไหม้บ่อขยะข่าวมั่ว นายกฯยันไม่ใช่



กิตติภูมิยันไฟไม่ไหม้บ่อขยะ เป็นเพียงจุดทิ้งเศษกิ่งไม้ใบหญ้าแห้งพื้นที่ไร่เศษ ห่างจากบ่อออกไปอีก 1.2กิโลเมตร  หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าตรวจสอบเหตุ  เร่งหามาตรการป้องกันหวั่นกระทบเกิดปัญหาหมอกควัน  

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 27 ม.ค.58  เจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำปาง  กองสาธารสุขเทศบาลนครลำปาง  และ ปภ.จังหวัดลำปาง ได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบภายในบ่อฝังกลบขยะมูลฝอยของเทศบาลนครลำปาง ตั้งอยู่เขตหมู่บ้านกล้วยม่วง หมู่ 3 ต.กล้วยแพะ อ.เมือง จ.ลำปาง  หลังจากเมื่อกลางดึกวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นภายในพื้นที่ของบ่อฝังกลบดังกล่าว โดยต้องใช้รถดับเพลิงจากเทศบาลนครลำปางและเทศบาลเมืองเขลางค์นคร รวม 5 คันจึงฉีดดับเพลิงไว้ได้  และยังมีรถดับเพลิงของบริษัทรับจ้างเก็บขยะคอยฉีดพรหมน้ำเฝ้าระวังอยู่

นายเสวก จันทวงศ์ หน.งานบำรุงรักษาและซ่อมแซม สำนักการช่าง เทศบาลนครลำปาง เปิดเผย ว่า ศูนย์จัดการขยะแหงนี้ มีพื้นที่กว่า 600 ไร่ ได้จัดแบ่งโซนการจัดการขยะแบบฝังกลบ เป็นโซนๆไป  โดยพื้นที่ที่เกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ก็เป็นโซนที่ทิ้งเศษกิ่งไม้ใบหญ้าและขยะที่ย่อยสลายได้ ไม่ใช่บริเวณบ่อขยะฝังกลบแต่อย่างใด   ซึ่งที่มาของเศษกิ่งไม่ใบหญ้าเหล่านี้ก็มาจากพื้นที่ชุมชนนำมาทิ้ง และกองรวมกันไว้ รอการย่อยสลาย แต่ในช่วงนี้สภาพอากาศที่ค่อนข้างแห้งแล้ง กับมีการหาของป่า อาจมีคนภายนอกเข้ามาหาของป่าและได้เผาเศษไม้แห้งจนเกิดการลุกลาม ซึ่งจะมีรถน้ำของบริษัท 1 คันที่เตรียมไว้เฝ้าระวังสำหรับบ่อขยะ 25 ไร่  ช่วงที่เกิดไฟไหม้เศษไม้ตรงจุดนี้ก็ได้นำรถของบริษัทมาดับไฟ แต่เอาไม่อยู่ จึงได้ประสานขอรถดับเพลิงของเทศบาลเมืองเขลางค์มาทำการดับร่วมด้วย ซึ่งทางนายกเทศมนตรีจะได้มีการประชุมส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อหามาตรการ ป้องกัน เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงเฝ้าระวังหมอกควันไฟป่า  

ด้านนายกิตติภูมิ  นามวงค์  นายกเทศมนตรีนครลำปาง  กล่าวว่า  ไฟไม่ได้ไหม้ขยะในบ่อกำจัดขยะของเทศบาลนครลำปางแต่ประการใด  ส่วนของพื้นที่ที่เกิดเพลิงไหม้  ซึ่งอยู่ห่างจากบ่อขยะประมาณ 1.2 กิโลเมตร เป็นพื้นที่โล่งที่เปิดให้ชาวบ้านในพื้นที่เทศบาลเมืองเขลางค์นคร และเทศบาลนครลำปาง นำขยะย่อยสลายง่าย เศษกิ่งไหม้ใบไม้มาทิ้ง โดยให้กองรวมไว้รอให้มีการย่อยสลายเป็นปุ๋ย ซึ่งที่ผ่านมามีชาวบ้านนำมาทิ้งจำนวนมาก ระหว่างที่เกิดเหตุไฟไหม้ในพื้นที่ดังกล่าว เทศบาลนครลำปางได้ร่วมกันดำเนินการดับไฟในพื้นที่ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยได้รับการนสนับสนุนรถดับเพลิงจากเทศบาลเมืองเขลางค์นคร จึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ 

นายกเทศมนตรี กล่าวว่า สำหรับการป้องกันแก้ไขปัญหาเบื้องต้น  เทศบาลขณะนี้ได้ให้รถแทรกเตอร์เข้ามาปรับพื้นที่ โดยการดันกองเศษกิ่งไม้ลงในหลุมบ่อเก่าที่มีอยู่ใกล้พื้นที่ได้บางส่วน พร้อมทำการกลบทับด้วยดินเรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นแนวกันไผป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ  แต่หากเกิดสุดวิสัยก็จะง่ายต่อการดับไฟและป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามได้ด้วย  และจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้  ถือว่าไม่มีผลกระทบที่เป็นมลภาวะทางอากาศแต่อย่างใด สำหรับ การแก้ไขปัญหาระยะยาว จะต้องหารือร่วมกับหน่วยงาน องค์กร และผู้นำชุมชนที่เกี่ยวข้องอีกครั้งครั้ง  ทั้งนี้ มีแนวคิดว่า จะต้องนำดินไปถมปิดกั้นทางเข้าบริเวณพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้นำเศษกิ่งไม้เข้าไปเททิ้งได้อีก กำหนดจุดทิ้งกิ่งไม้ให้ชัดเจนไว้ ณ บ่อลูกรังเก่าที่มีอยู่ พร้อมทำป้ายบอกทางอื่นๆ ตามความเหมาะสม และทำการไถปรับพร้อมกลบทับดินเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสมต่อไป

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้ในพื้นที่ใกล้บ่อกำจัดขยะ ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานประจำสถานที่บ่อฝังกลบมูลฝอย เทศบาลนครลำปาง รายงานว่า  น่าจะเกิดจากการที่ชาวบ้านที่เข้าไปหาของเก่า และเศษกิ่งไม้ไปทำฟืน ได้ทำการจัดไฟเผากองเศษกิ่งไม้นี้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยได้ทำการจุดไฟเผาไปทั้งหมด 7 กอง พร้อมๆ กัน ซึ่งบางกองจะมีระยะห่างกัน ไม่ได้เกิดจากการลุกลามติดต่อกัน และเป็นจุดที่อยู่ห่างจากบ่อฝังกลบมูลฝอยของเทศบาลนครลำปางมาก.

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1014 ประจำวันที่ 30 มกราคม  -  5  กุมภาพันธ์ 2558)   
 




Share:

ชี้ดินไหวบ่อย ปลดปล่อยพลังลดเสี่ยง



ผอ.ทรัพยากรธรณีเขต 1 ลำปางระบุการเกิดแผ่นดินไหวในภาคเหนือบ่อยครั้งเป็นเรื่องปกติที่รอยเลื่อนได้มีการปลดปล่อยพลัง  เท่ากับลดความเสี่ยงในการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่  ซึ่งประชาชนจะสามารถรับรู้การสั่นไหวได้ในระดับ 3 ริกเตอร์ขึ้นไป   เตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงควรมีความพร้อมในการรับมือภัยธรรมชาติชนิดนี้ตลอดเวลา ถึงแม้รอยเลื่อนจะมีการปลดปล่อยพลังก็ตาม

หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่ จ.ลำปางติดต่อกัน 3 ครั้ง เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ 19 ม.ค.58 เวลา 01.08 น. ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 2.9 ริกเตอร์ ที่ ต.เวียงมอก อ.เถิน  และวันเดียวกันเวลา 21.04 น. ขนาด 2.8 ริกเตอร์ ใกล้เคียงกับจุดแรก  และในวันที่ 21 ม.ค.58 เวลา 13.57 น.ได้เกิดขึ้นอีก ขนาด 2.3 ริกเตอร์ ในพื้นที่ อ.เถินเช่นกัน  ซึ่งการเกิดแผ่นดินไหวดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่ เพราะที่ จ.ลำปาง ไม่ได้เกิดแผ่นดินไหวมานานแล้ว

ลานนาโพสต์ได้สอบถามไปยัง นายทินกร ทาทอง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรณีเขต 1 (ลำปาง) เปิดเผยว่า ช่วงนี้มีรายงานแผ่นดินไหวขนาดเล็ก เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือหลายจังหวัดรวมทั้ง ประเทศเพื่อนบ้านเช่นประเทศพม่า ซึ่งการรายงานการเกิดแผ่นดินไหว เป็นของสำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา ที่มีเครื่องมือสามารถตรวจจับแรงสั่นสะเทือนได้ โดยจะรายงานหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ที่จุดนั้นๆประมาณ 5 นาที จากนั้นจะมีรายงานทางเว็บไซต์ของสำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา  ซึ่งเดิมจะมีการรายงานข้อมูลแผ่นดินไหวตั้งแต่ 3 ริกเตอร์ขึ้นไป แต่ปัจจุบันได้เพิ่มการรายงานการเกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็ก ต่ำกว่า 3 ริกเตอร์เข้ามาด้วย ประชาชนจึงคิดว่ามีการเกิดบ่อยขึ้น แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องปกติของการเกิดแผ่นดินไหวในภาคเหนือ เพราะภาคเหนือมีรอยเลื่อนที่มีพลังมากกว่าภาคอื่นๆ  โดยที่ จ.ลำปาง จะมีรอยเลื่อนพะเยาที่อยู่ทางเหนือของจังหวัด ส่วนทางใต้จะมีรอยเลื่อนเถิน และยังมีรอยเลื่อนอื่นๆที่อยู่ทั่วภาคเหนือ เช่น รอยเลื่อนแม่ทา จ.ลำพูน   รอยเลื่อนแม่จัน จ.เชียงราย  รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน รอยเลื่อนอุตรดิตถ์ เป็นต้น จึงทำให้เกิดการขยับตัวอยู่บ่อยครั้ง  ซึ่งการเกิดในปัจจุบันไม่ได้ต่างจากในอดีตแต่อย่างใด ประชาชนจะสามารถรับรู้การสั่นไหวของแผ่นดินไหวได้ในระดับ 3 ริกเตอร์ขึ้นไป อย่าได้ตื่นตระหนกกับการสั่นไหวขนาดเล็กที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

ผอ.สำนักทรัพยากรธรณี เขต 1 กล่าวต่อไปว่า  ในทุกรอยเลื่อนถ้ามีการขยับตัวไปเรื่อยๆ คือการปลดปล่อยพลังออกมา ในรอยเลื่อนที่มีพลังแต่ไม่ค่อยขยับตัวก็จะมีการสะสมไว้ เมื่อปล่อยพลังออกมาครั้งหนึ่งก็อาจจะเกิดพลังที่ใหญ่กว่าปกติ คือ การเกิดแผ่นดินไหวค่อนข้างใหญ่  ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเป็นรอยเลื่อนขนาดเล็ก แต่เมื่อได้รับการดันมาจากแผ่นเปลือกโลกฝั่งตะวันตกก็จะมีการขยับตัวอยู่ตลอด ถ้ามีการปลดปล่อยพลังออกอยู่เรื่อยๆ การเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ก็จะลดลง  เช่นเดียวกับการเกิดแผ่นดินไหวที่ อ.เถิน เกิดขึ้นติดต่อกัน 3 ครั้ง ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เป็นการปลดปล่อยพลังงานของรอยเลื่อนเถิน ซึ่งเป็นการเกิดเป็นประจำอยู่แล้ว ถ้ามีการปลดปล่อยโอกาสที่จะสะสมให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ก็จะลดลง ดังนั้น ก็จะมีความปลอดภัยมากขึ้น 

สำหรับการเฝ้าระวังการเกิดแผ่นดินไหว นายทินกร กล่าวว่า  ได้เฝ้าระวังทั้งภาคเหนือว่ารอยเลื่อนตรงไหนจะมีความผิดปกติเกิดขึ้น และแจ้งให้ชาวบ้านระมัดระวัง โดยเน้นเรื่องการสร้างความรู้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงภัย ถ้ามีการเตรียมความพร้อมความเสียหายที่เกิดก็จะลดลง  เมื่อ ทราบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่เสี่ยงก็ต้องก่อสร้างบ้านให้แข็งแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีสมัยนี้หาข้อมูลได้ง่ายมาก ซึ่งหลายหน่วยงานมีองค์ความรู้ในการก่อสร้างที่จะสามารถต้านทานแผ่นดินไหว ได้โดยที่ไม่ต้องเพิ่มงบประมาณมากมาย   ปัจจุบันการเกิดแผ่นดินไหวยังไม่สามารถที่จะรับรู้ล่วงหน้าได้ ประชาชนจะต้องมีความพร้อมตลอดเวลาในการรับมือหากเกิดเหตุ ขอให้ติดตามข่าวสารจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ซึ่งคาดหวังว่าในอนาคตทางวิทยาศาสตร์จะสามารถคิดค้นวิธีการในการการตรวจจับและรับรู้การเกิดแผ่นดินไหวล่วงหน้าได้. 

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1014 ประจำวันที่ 30 มกราคม  -  5  กุมภาพันธ์ 2558)   
 
Share:

เปิดทัวร์บังหน้า หลอกทำงานเกาหลี



จัดหางานลำปาง พร้อมตำรวจสืบสวนเมืองลำปาง ร่วมกันจับกุมบริษัททัวร์หลอกพาคนไปทำงานต่างประเทศ  จ่ายหัวละ 8 หมื่นบาท พบผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 20 คน

เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 23 ม.ค.58   พ.ต.ท.อุทัย คำแสน รอง ผกก.สภ.เมืองลำปาง  พร้อมด้วย พ.ต.ต.ประสิทธิ์ หน้าสมศรี  สว.สส.สภ.เมืองลำปาง  นายปรีชา อินทรชาธร ผอ.กองตรวจและคุ้มครองคนหางาน กรมจัดหารงานกระทรวงแรงงาน และ นางพรปวีณ์ วิชิต จัดหางานจังหวัดลำปาง ได้ควบคุมตัวนายพงษ์ศักดิ์ ต๊ะกูล อายุ 26 ปี   บ้านเลขที่ 24 ถ.เจริญประเทศ ต.หัวเวียง อ.เมือง จ.ลำปาง  และนายประสิทธิ์ ปัทมะ อายุ 36 ปี ซึ่งอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน  โดยทั้งสองคนเป็นกรรมการร่วมทุนของบริษัท พงษ์ศักดิ์ ดีลอปเมนท์ จำกัด  เลขที่  719 หมู่ 15 ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง จ.ลำปาง  ประกอบกิจการขายทัวร์นำเที่ยวและจำหน่ายตั๋วเครื่องบินทั้งในและนอกประเทศ มาทำการสอบสวนและแถลงข่าวที่ห้องประชุม สภ.เมืองลำปาง หลังจากได้รับการประสานงานจากสำนักงานจัดหางานจังหวัดลำปางงว่า บริษัทดังกล่าวได้ลักลอบส่งคนไปทำงานต่างประเทศโดยผิดกฎหมาย

นายปรีชา อินทรชาธร ผอ.กองตรวจและคุ้มครองคนหางาน  กล่าวว่า กรมการจัดหางานกระทรวงแรงงาน ได้รับข้อมูลจากทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดลำปางว่ามีบริษัททัวร์ลักลอบส่ง คนไปทำงานที่ประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น จึงได้สืบหาข้อมูลของบริษัทดังกล่าวจนรู้ที่ตั้ง และให้เจ้าหน้าที่จัดหางานเฝ้าติดตามพฤติกรรม จนกระทั่งพบว่ามีพฤติกรรมดังกล่าวจริง จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าติดตามตัวมาได้จำนวน 2 คน  คือ นายพงษ์ศักดิ์ ต๊ะกูล และนายประสิทธ์ ปัทมะ  ซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนของบริษัทดังกล่าว ยังเหลืออีก 1 คน คือนายพายุ สว่างใจธรรม ที่ยังตามตัวไม่พบ

โดยพฤติกรรมของบริษัทนี้คือ มีการเปิดบริษัทเพื่อขายทัวร์และขายตั๋วเครื่องบินให้กับนักท่องเที่ยว แต่ได้ลักลอบพาคนไปทำงานต่างประเทศโดยผิดกฎหมาย มีการนัดหมายเครือข่ายในพื้นที่เพื่อรับตัวไปอีกต่อหนึ่ง ซึ่งมีผู้เสียหายหลายรายที่ ร้องเรียนเข้ามาที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดว่าไม่ได้ไปทำงานจริงตามที่ตกลงกันไว้ทั้งที่จ่ายเงินไปแล้ว  คนละ 7-8 หมื่นบาท พบผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 20 คน  รวมมูลค่าแล้วหลายล้านบาท   นายปรีชา กล่าว

ด้านจัดหางานจังหวัดลำปาง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงนี้คนลำปางหันไปทำงานต่างประเทศจำนวนมาก เนื่องจากเศรษฐกิจด้านการเกษตรไม่ดี  คาดว่าชาวบ้านอยากมีฐานะอย่างรวดเร็ว จึงมองว่าการไปทำงานต่างประเทศมีรายได้ดีกว่าในประเทศ  แต่ไม่ได้คิดว่าการหลบหนีเข้าเมืองก็ย่อมเหมือนกับแรงงานต่างด้าวที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ กดค่าแรง และก็ต้องหนีกลับมาอยู่บ้านอยู่ดี   เมื่อมีคนต้องการไปมากขึ้นเรื่องการหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศจึงสูงขึ้นตามมาด้วย อยากฝากเตือนให้ประชาชนติดตามข่าวสารและสอบถามข้อมูลผ่านมายังสำนักงานจัดหางานจังหวัดก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง และเสียเงินโดยใช่เหตุ

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวทั้งสองคนส่งพนักงานสอบสวน แจ้งข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต และจะได้ติดตามตัวนายพายุ สว่างใจธรรม ผู้ร่วมขบวนการอีกคนหนึ่งมาสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สำหรับ บริษัท พงษ์ศักดิ์ ดีลอปเมนท์ จำกัด  ได้ยื่นจดทะเบียนนิติบุคคลเมื่อวันที่ 21 ส.ค.57 วัตถุประสงค์  ประกอบกิจการจำหน่ายตั๋วเครื่องบินทั้งในประเทศและนอกประเทศ  ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มีผู้ร่วมทุนจำนวน 3 คน คือ  นางพงษ์ศักดิ์ ต๊ะกูล  นายประสิทธิ์ ปัทมะ และนายพายุ สว่างใจธรรม 

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1014 ประจำวันที่ 30 มกราคม  -  5  กุมภาพันธ์ 2558)   
 
Share:

ยิงปะทะสนั่นป่า บ้านห้วยวาด รวบวัยรุ่นเสพยา


ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง อ.แจ้ห่ม ออกเดินลาดตระเวนตรวจสอบความเรียบร้อยในหมู่บ้านชาวเขาเป้าหมายยาเสพติด เจอสามหนุ่มชาวเขานั่งรวมกลุ่ม เห็นเจ้าหน้าที่ตกใจวิ่งหนีเข้าป่า จึงวิ่งตามจับกุมตัว แต่ปรากฏว่าหนึ่งในสามใช้อาวุธปืนยิงสู้ เกิดการปะทะขึ้น สุดท้ายหนุ่มชาวเขาถูกยิงบาดเจ็บ 1 ราย  อีกสองคนหนีไปได้

เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.วันที่ 25 ม.ค.58  พ.ต.ท.สายัณห์ นึกเร็ว พนักงานสอบสวนเวร สภ.แจ้ห่ม ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุยิงปะทะกันในหมู่บ้านห้วยวาด หมู่ 1 ต.ทุ่งผึ้ง อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนจะเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุร่วมกับ พ.ต.อ.สมเดช ทศพร ผกก.สภ.แจ้ห่ม  นายสันติ นฤมิตร นายอำเภอแจ้ห่ม พร้อมกำลังทหารรบพิเศษที่ 3 ค่ายประตูผา  ฝ่ายปกครอง อ.แจ้ห่ม และ อส. กว่า 30 นาย   ที่เกิดเหตุเป็นป่าละเมาะห่างจากหมู่บ้านไม่มากนัก พบผู้บาดเจ็บเป็นชาย 1 ราย ทราบชื่อคือนายมงคล ลาปา อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 330 หมู่ 4 ต.สันสลี อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ถูกยิงที่ต้นขาซ้ายจำนวน 2 นัด และต้นขาด้านหลังจำนวน  1 นัด  มีเลือดไหลเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้เร่งให้การช่วยเหลือ โดยนำร่างของนายมงคลวางบนผ้าใบและช่วยกันหามออกมาขึ้นรถ เพื่อนำส่งโรงพยาบาลลำปางอย่างเร่งด่วน

จากการสอบถามเบื้องต้นทราบว่า เมื่อคืนวันที่ 24 ม.ค.58 ที่ผ่านมา ภายในหมู่บ้านห้วยวาดได้มีการจัดงานปีใหม่ของกลุ่มชาวไทยภูเขา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้มีการตั้งจุดตรวจอยู่ปากทางหมู่บ้านตามปกติ ซึ่งในช่วงกลางดึกได้ยินเสียงอาวุธปืนดังขึ้น แต่ยังไม่ได้เข้าตรวจสอบเนื่องจากหมู่บ้านดังกล่าวเป็นหมู่บ้านเป้าหมายยาเสพติด จึงรอช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ทหารรบพิเศษที่ 3 ค่ายประตูผา ตำรวจ สภ.แจ้ห่ม ฝ่ายปกครอง อ.แจ้ห่ม ได้ร่วมกันเดินลาดตระเวนตรวจสอบความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน พบชายวัยรุ่นจำนวน 3 คนนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้พากันวิ่งหนีเข้าไปในป่า จึงได้วิ่งตามไปแต่ว่าชายวัยรุ่น หนึ่งในสามคนได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงต่อสู้ จึงเกิดการปะทะกันขึ้น เป็นเหตุให้นายมงคลถูกยิงเข้าที่ขาซ้ายล้มลงนอนร้องครวญครางอยู่ ส่วนชายอีกสองคนวิ่งหลบหนีไปได้ จึงได้แจ้งขอกำลังเข้ามาช่วยเหลือ และนำตัวนายมงคลส่งโรงพยาบาล

จากนั้นได้กลับไปตรวจสอบจุดที่พบชายวัยรุ่นทั้ง 3 คน  เจ้าหน้าที่พบระเบิดลูกเกลี้ยง พร้อมใช้งาน 1 ลูก ยาบ้า 1 เม็ด  พร้อมอุปกรณ์การเสพ   กระสุน จุด 38  1 กล่อง   ซองใส่ปืนพกสั้น จึงได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน  ทั้งนี้ นายมงคล ได้มีหมายจับคดียาเสพติด ยาบ้า 30 เม็ดอยู่ก่อนหน้านี้ด้วย ส่วนชายอีก 2 คนที่หลบหนีเจ้าหน้าที่ได้เร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป โดยแจ้งข้อหา  รวมกันมียาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อเสพ ,มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย , ต่อสู้เจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่

นอกจากนั้น จากการปิดล้อมตรวจค้น ยังได้จับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับคดียาเสพติดได้อีก 3 ราย  คือ  นายสุเมธ  จันทร์ณุ ราษฎณ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย   นายอาซี   ย่างจา บ้านเลขที่ 13/  ม.18 ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย   นางแนโกะ หรือจะมู แสง อยู่บ้านเลขที่ 6/พ บ้านห้วยวาด ม. 11 ต.ทุ่งผึ้ง อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง   และได้จับกุมนายยะไผ่  จะเดือ คนบ้านพระยาแดง 28 ม.21 ต.ป่าแดด อ.แม่สวย จ.เชียงราย ข้อหาเสพยาเสพติดได้อีก 1 ราย 

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1014 ประจำวันที่ 30 มกราคม  -  5  กุมภาพันธ์ 2558)   
 
 
Share:

ฉกกกน.ถี่ นศ.สาวครวญ ขอคืนไม้แขวน



โจรขี่รถ จยย.จอดข้างรั้ว วิ่งเข้าไปฉกชุดชั้นในสาวนักศึกษาในหอพัก หลายครั้งแต่จับตัวไม่ได้  ล่าสุดแอบเข้ามาขโมยกลางดึก จนนักศึกษาต้องติดป้ายขอให้คืนราวแขวนชุดชั้นในด้วย

เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 28 ม.ค. 58 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีคนร้ายได้เข้าไปขโมยชุดชั้นในของนักศึกษาหญิงที่หอพักแห่งหนึ่ง ย่านมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาลำปาง เขตบ้านปงวัง หมู่ 6 ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง จึงเข้าไปสอบถามนักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักดังกล่าว และทราบว่าได้เกิดเหตุโจรโรคจิตแอบลักลอบเข้าไปขโมยชุดชั้นในหายไปบ่อยครั้ง และจำนวนหลายตัว  ซึ่งพบว่าบริเวณประตูหน้าหอพักได้มีการติดป้ายประกาศ มีข้อความถึงโจรโรคจิตที่ขโมยชุดชั้นในไปว่า หากเข้ามาขโมยชุดชั้นใน ขอความกรุณาเหลือที่ราวแขวนชุดชั้นในไว้ให้ด้วย

น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 22 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาลำปาง ได้เล่าให้ว่า โดยเมื่อวันก่อนตนเองได้ซักเสื้อผ้าพร้อมชุดชั้นใน แล้วนำมาตากไว้ที่ราวเหล็กตากผ้าที่อยู่หน้าห้อง จากนั้นก็ไปเรียนหนังสือตามปกติ แต่พอช่วงเย็นกลับมาหอพักก็พบว่าชุดชั้นในที่นำมาแขวนไว้ที่ราวเหล็ก ซึ่งมีชุดชั้นในที่ตากไว้กว่า 20 ตัวหายไปทั้งหมด เหลือเพียงแต่เสื้อผ้าชุดนักเรียนไว้ จากนั้นตนเองจึงได้ประสานเจ้าของหอพักเพื่อขอให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด

ซึ่งเมื่อมาย้อนดูกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้ก็พบว่า บริเวณหน้าหอพักได้มีรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ สีน้ำเงิน ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน โดยมีคนร้ายเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ สวมหมวกไอ้โม่งปิดหน้า ขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวมาจอด จากนั้นก็ได้ลงจากรถเดินมาที่บริเวณรั้วหอพักและได้ยืนดูอยู่สักพักหนึ่ง คาดว่าน่าจะมองหาชุดชั้นใน จากนั้นก็ได้วิ่งเข้าไปในหอพักแล้วก็ได้ดึงที่แขวนชุดชั้นในไป แล้วก็ได้รีบวิ่งหนีไปที่รถจักรยานยนต์ แล้วก็ขับรถหลบหนีไป ซึ่งกล้องวงจรปิดก็สามารถจับภาพคนร้ายได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ นักศึกษาหญิงยังได้ไปพบที่แขวนชุดชั้นในตกอยู่ในพงหญ้าริมถนนห่างจากหอพักกว่า 800 เมตร ซึ่งคิดว่าคนร้ายน่าจะดึงเอาเฉพาะชุดชั้นในออกไปแล้วได้ทิ้งที่แขวนชุดชั้นในไว้ข้างทางดังกล่าว จากเหตุการณ์นี้ทำให้ ไม่มีนักศึกษาหญิงคนใดกล้าที่จะตากชุดชั้นในไว้ด้านนอกห้องในตอนกลางคืน เพราะเกรงว่าจะถูกโจรโรคจิตขโมยไปอีก และที่ผ่านมาชุดชั้นในก็ได้หายไปบ่อยครั้งมาก ซึ่งทางผู้เสียหายจะได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจะได้ติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1014 ประจำวันที่ 30 มกราคม  -  5  กุมภาพันธ์ 2558)   
Share:

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

เอเลียนบุก

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ดูคลิปที่นักท่องเที่ยวไปเที่ยวหล่มภูเขียว อำเภองาว ถ่ายไว้ แน่นอนว่าน้ำสีเขียวมรกตท่ามกลางป่าดิบเขานั้นดูสวยงามลึกลับดี แต่ภาพปลาที่ว่ายวนเวียนอยู่ในนั้น ไม่ควรคิดว่ามันคือส่วนหนึ่งของระบบนิเวศในหล่มภูเขียว เพราะนั่นมันปลา เอเลียน ชัด ๆ ทั้งเปคูและบิ๊กอุย ซึ่งอันที่จริง มันคือตัวทำลายระบบนิเวศในท้องถิ่นแบบเงียบ ๆ และแสนจะเลือดเย็น

เปคู (Pacu) เป็นปลาที่ถูกนำเข้ามาเป็นปลาเศรษฐกิจอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ไม่ได้รับความนิยม บางส่วนจึงถูกนำไปทิ้งในแหล่งน้ำธรรมชาติ และกลายมาเป็นปลาเกมสำหรับนักตกปลา ปกติเปคูไม่ใช่ปลาดุร้าย แม้ว่ามันจะมีรูปร่างคล้ายปลาปิรันยาก็เถอะ อาหารหลักของมันคือพืช แต่บางทีอาจเป็นปลาขนาดเล็กด้วยก็ได้

ส่วนบิ๊กอุย คือ ลูกผสมที่เกิดจากการผสมเทียมข้ามพันธุ์ระหว่างพ่อพันธุ์ปลาดุกยักษ์กับแม่พันธุ์ปลาดุกอุย มันเป็นปลาที่มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ควรเลี้ยงไว้ในฟาร์มมากกว่าจะปล่อยลงไปในแหล่งน้ำธรรมชาติ เพราะนิสัยกินไม่ได้เลือกของมันเป็นภัยต่อปลาพื้นเมืองตามแหล่งน้ำธรรมชาติยิ่งนัก

คำว่า เอเลียน ในที่นี้หมายถึง เอเลียนสปีชีส์ (Alien Species) หรือที่เรียกว่าชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน คือ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่สามารถตั้งถิ่นฐานและยึดครองจนเป็นชนิดพันธุ์เด่นในพื้นที่ และส่งผลกระทบต่อชนิดพันธุ์ท้องถิ่นเดิมจนอาจสูญพันธุ์ไป ทั้งยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขอนามัยของประชาชนด้วยหากไม่มีการควบคุมและจัดการอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ นักวิชาการกล่าวว่า เอเลียนสปีชีส์แพร่กระจายเข้ามาในประเทศไทยจาก 3 ทาง ได้แก่ มาด้วยความสามารถของชนิดพันธุ์เองเมื่อมีโอกาส การชักนำเข้ามาโดยบังเอิญจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ และการนำพาโดยผู้คนทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม เอเลียนสปีชีส์ถือเป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ หากไม่นับการบุกรุกพื้นที่ธรรมชาติโดยมนุษย์

ปัจจุบันเอเลียนสปีชีส์ในประเทศไทยมีมากมายเกือบร้อยชนิด แต่ที่เข้าข่ายสร้างปัญหาอย่างหนักก็เช่น หอยเชอร์รี หอยทากยักษ์แอฟริกา หอยกะพงเทศ เต่าแก้มแดง ตะพาบไต้หวัน ปลากดหลวง ต้นสาบหมา ผักตบชวา ไมยราบยักษ์ นากหญ้า หอยข้าวสาร และปลาซัคเกอร์

ในจำนวนนี้ ดูเหมือนจังหวัดลำปางเราก็โดนคุกคามแล้วหลายชนิด            

หอยเชอร์รี สัตว์ประจำถิ่นของทวีปอเมริกาใต้ที่นำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2532 เพื่อกำจัดตะไคร่น้ำในตู้ปลา ทั้งยังมีการเลี้ยงเพื่อส่งออก แต่ไม่เป็นที่นิยม จึงถูกปล่อยทิ้งลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ จนแพร่ระบาดไปทั่วประเทศ สร้างความเสียหายต่อข้าว และทำให้หอยพื้นเมืองลดลง

หอยทากยักษ์แอฟริกา สัตว์ประจำถิ่นแอฟริกาตะวันออก ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยโดยทหารญี่ปุ่นเพื่อเป็นอาหาร บ้างก็ว่าถูกนำเข้ามาเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม แต่เมื่อหลุดออกสู่ธรรมชาติ พวกมันก็แพร่พันธุ์จนไม่สามารถควบคุมได้ สร้างปัญหาการแพร่ระบาดไปทั่วประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 เรื่อยมา

เต่าแก้มแดง หรือเต่าญี่ปุ่น สัตว์ประจำถิ่นอเมริกาใต้ที่นำเข้ามาในประเทศไทยเพื่อจำหน่ายเป็นสัตว์สวยงาม จากทีแรกที่เป็นลูกเต่าตัวเล็ก ๆ วัยเด็ก พอโตขึ้นตัวชักจะเริ่มใหญ่ จึงมีการนำมันไปปล่อยตามแหล่งน้ำธรรมชาติ เจ้าเต่าแก้มแดงก็ยังอึด เพราะสามารถกินทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ แล้วยังขยายพันธุ์ได้เร็วและมาก จึงมีส่วนทำให้เต่าไทยอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์

ปลาซัคเกอร์ หรือปลาเทศบาล หรือปลากดเกราะ ไม่ว่าจะเรียกชื่อมันอย่างไร นี่คือฝันร้ายของแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างแท้จริง มันถูกนำเข้ามาจากทวีปอเมริกาใต้เมื่อปี พ.ศ. 2500 เพื่อใช้กำจัดสาหร่ายและของเสียที่ตกค้างในตู้ปลา แต่เมื่อมันเริ่มตัวใหญ่เกินไป และบางทีก็ไล่ดูดเมือกของปลาอื่นจนตาย คนเลี้ยงจึงนำไปปล่อยทิ้งในแหล่งน้ำธรรมชาติ ผลก็คือ มันแย่งอาหารและที่อยู่อาศัยของปลาชนิดอื่นจนลดจำนวนลงและสูญหายไปมากมาย นอกจากนี้ ยังทนต่อน้ำเน่าเสียได้อีกต่างหาก สร้างปัญหาต่อความหลากหลายทางชีวภาพจนน่าปวดหัว

จอกหูหนูยักษ์ ความร้ายกาจขนาดผักตบชวายังชิดซ้าย มันมีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกาใต้ แต่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยหลายปีแล้ว เฟิร์นลอยน้ำชนิดนี้เมื่อโตเต็มที่จะปกคลุมผิวน้ำอย่างหนาแน่นและซ้อนทับกันเป็นชั้นหนา แย่งพื้นที่พืชน้ำอื่น ๆ ในท้องถิ่น ทั้งยังบดบังไม่ให้แสงแดดและออกซิเจนผ่านลงไปใต้น้ำได้ พืชใต้น้ำจึงไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้และตายลง พลอยส่งผลต่อสัตว์น้ำด้วย จอกหูหนูยักษ์ยังกำจัดยากกว่าผักตบชวา เพราะเวลามันหักก็สามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้จากตาตรงซอกใบ มิหนำซ้ำเมื่อมันตายลงก็จะทับถมลงแหล่งน้ำ ทำให้เกิดการตื้นเขินได้อีก
ปลานิล ปลาน้ำจืดในตระกูลปลาหมอสี มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยด้วยเหตุผลทางการเกษตร และด้วยความที่มันปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ง่าย ๆ จึงทำให้มันขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
ดอกบัวตอง มีแหล่งกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกากลาง ถูกนำเข้ามาปลูกโดยมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ เป็นเหตุให้พืชชนิดนี้บานสะพรั่งไปทั่วแดนดอย พลอยเบียดเบียนพืชดั้งเดิมชนิดอื่นจนขึ้นไม่ได้เลยทีเดียว
ต้นสาบหมา พืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโก แพร่พันธุ์โดยอาศัยลมพัดดอกไปที่อื่น มันจะแทรกตัวปกคลุมพื้นที่ทำให้พืชชนิดอื่นขึ้นได้ยาก ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ ลำต้นและใบของมันยังมีสารยับยั้งการงอกและชะลอการเจริญเติบโตของพืชหลายชนิดอีกด้วย
ไมยราบยักษ์ พืชประจำถิ่นของอเมริกากลางและทางตอนเหนือของโคลัมเบียและเวเนซุเอลา มีการนำเมล็ดจากอินโดนีเซียเข้ามาปลูกเป็นพืชคลุมดินในไร่ยาสูบจังหวัดเชียงใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2490 ความที่ปรับตัวได้ดีและขยายพันธุ์เร็ว จึงแพร่ระบาดไปทั่ว อีกทั้งยังอึดและทนจนสร้างปัญหาในการทำลายให้ยากเย็นขึ้นอีก
เอเลียนอยู่ใกล้เรามากกว่าที่คิด ลองหันไปสำรวจรอบตัวดูสักนิด อ้อ...แมลงสาบ ดอกผกากรอง หรือแม้แต่ปลาทองในตู้ นั่นก็เอเลียนสปีชีส์นะจ๊ะ

Share:

ระดมสมองถกพลังงาน ปชช.ค้านถ่านหินเอื้อทุน


กระทรวง พลังงานเปิดเวทีระดมความเห็นทิศทางใช้พลังงานไทย ชี้ปี79 หวังเพิ่มพลังงานทดแทน ลดกำลังพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน ขณะที่ประชาชนบางส่วนระบุปัญหาผลกระทบพลังงานถ่านหินยังจัดการไม่ได้ หวั่นเอื้อระบบทุนและผลประโยชน์ในกลุ่มพลังงานทดแทน

เมื่อวันที่ 22 มกราคม. 2557 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน จัดการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ "มองทิศทางพลังงานไทย ผ่านแผน PDP" เพื่อระดมความคิดเห็นจากหัวหน้าหน่วยงาน เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทั้งนักวิชาการ ข้าราการ พนักงานของรัฐ กลุ่มผู้นำชุมชน ตลอดจนสื่อมวลชน ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่จังหวัดลำปาง รวมจำนวนกว่า 150 คน เพื่อกำหนดทิศทางแผนการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย ที่ห้องประชุมจันผา โรงแรมเวียงลคอร อ.เมือง จ.ลำปาง

โดยในการสัมมนามีการให้ความรู้เกี่ยวกับทิศทางพลังงานของประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ปี พ.ศ. 2558 - 2579 หรือแผน PDP 2015 รวมถึงให้ความรู้  สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุน การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในแต่ละประเภท ที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทย โดยการประชุมสัมมนาครั้งนี้ ได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ลดวิกฤตพลังงาน มุ่งสู่การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนและเปิดเวที ให้ผู้ร่วมประชุมได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อแนวทางการพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ ประเทศไทย ตามแผน PDP

นายสุชาลี สุมามาลย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กล่าวว่า แผนพัฒนา PDP 2015 ได้จัดทำขึ้น โดยยึดหลักการสำคัญ 3 ด้าน คือ 1. ด้านความมั่นคงทางพลังงานที่ต้องการจัดหาไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ และต้องใช้เชื้อเพลิงที่หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเชื้อเพลิง ชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป 2. ด้านเศรษฐกิจ ที่ต้องการให้มีการใช้ไฟฟ้าอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 3. ด้านสิ่งแวดล้อม ที่ต้องการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม โดยแผนพัฒนา PDP 2015 ได้มีการปรับกรอบให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งบูรณาการร่วมกับแผนอนุรักษ์พลังงาน และแผนพัฒนาพลังงานทดแทน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานไฟฟ้า โดยตั้งเป้าที่จะลดความต้องการ การใช้พลังงานไฟฟ้าลงประมาณ 89,672 ล้านหน่วย(GWh) ในปี 2579 และจะเน้นการพัฒนาพลังงานทดแทน ให้ใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพตามที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะชีวมวล ก๊าซชีวภาพ รวมถึงพลังงานทดแทนอื่นๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เพื่อกระจายความเสี่ยงลดการพึ่งพิงเชื้อเพลิงชนิดหนึ่งชนิดใดมากจน เกินไป

ตามแผน PDP 2015 ได้ประมาณการสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิง เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าไว้ว่า เมื่อสิ้นสุดแผนฯ ปี 2579 จะลดสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ จากเดิมร้อยละ 67 ลดลงเหลือประมาณร้อยละ 30-40 มีการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินสะอาดในสัดส่วน ร้อยละ 20-25 ซื้อไฟฟ้าพลังน้ำ จากต่างประเทศร้อยละ 15-20 ใช้พลังงานหมุนเวียนร้อยละ 15-20 และใช้นิวเคลียร์ ร้อยละ 0-5

ผู้ สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการสัมมนาดังกล่าว มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นเกี่ยวกับพลังงานเชื้อเพลิงถ่านหินที่ ยังใช้อยู่เดิมยังมีปัญหาเรื่องของการจัดการผลกระทบในพื้นที่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าหากหันมาใช้พลังงานทดแทนให้สามารถทดแทนการใช้พลังงานถ่าน หินได้จริงเป็นเรื่องที่รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแสดงความจริงใจใน การผลักดันให้เป็นรูปธรรม เนื่องจากที่ผ่านมา รัฐบาลยังพยายามผลักดันการเปิดพื้นที่เหมือง และอ้างว่าพลังงานถ่านหินมีราคาถูกและจำเป็นต่อการใช้เป็นเชื้อเพลิงผลติกระ แสไฟฟ้า  อย่างไรก็ตามประชาชนโดย ส่วนใหญ่ ยังให้ความสนใจและเห็นด้วยกับพลังงานทดแทน เพราะขณะนี้มีหลายโครงการในลำปางเริ่มหันมาใช้พลังงานทดแทนในชุมชน แต่ที่ผ่านมา ยังพบว่าบางส่วนมีเอกชนที่อยู่ในระบบนายทุนเข้ามามีผลประโยชน์ในระบบมากกว่า การกระจายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในชุมชน รวมถึงโครงการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนในการขายพลังงานทดแทนเข้าระบบไฟฟ้า ของรัฐยังมีการเปิดช่องให้นายทุนและมีเส้นสายเปิดช่องทางผลประโยชน์ใน บางกลุ่ม
Share:

ประทุษวาจา รธน.ตกหล่ม




นับเป็นความก้าวหน้าของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าสุด ที่บรรจุถ้อยคำ “ประทุษวาจา” หรือ วาทกรรมแห่งความเกลียดชังหรือ Hate Speech เป็นข้อจำกัดการใช้เสรีภาพ อีกข้อหนึ่ง นอกจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งเป็นต้นแบบในการร่างของกรรมาธิการ

รัฐธรรมนูญ ที่บรรจุด้วยคำว่า ประทุษวาจา จึงเป็นคล้ายรัฐธรรมนูญตกหล่ม

รัฐธรรมนูญเดิม จำกัดเสรีภาพในเรื่อง ความมั่นคงของรัฐ สิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน

ในข้อจำกัดเดิมนั้น คำว่าความมั่นคงของรัฐถูกตีความได้อย่างกว้างขวางมาก เฉพาะที่เป็นปัญหาถกเถียงกันและนำไปสู่คดีความที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายจำนวนไม่น้อย คือความผิดต่อความมั่นคง ความผิดต่อสถาบัน  ซึ่งผูกโยงไปถึงความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ดังนั้น เราจึงพบคดีความผิดฐานหมิ่นสถาบัน ในคดีหมิ่นประมาทและความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นคดีความที่หลายครั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะมีการตีความว่า ความผิดต่อสถาบันเป็นความผิดในเรื่องความมั่นคงด้วย ทั้งที่กฎหมายคอมพิวเตอร์ไม่ได้บัญญัติไว้

และหากพิจารณาเฉพาะกฎหมายอาญาว่าด้วยหมิ่นประมาท ก็ถูกทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องเดียวกับการหมิ่นประมาทตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งกฎหมายคอมพิวเตอร์บัญญัติไว้เฉพาะการหมิ่นประมาทด้วยภาพเท่านั้น หรือการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งมีหลักในการวินิจฉัยต่างกับคดีหมิ่นประมาททั่วไป อย่างไรก็ตามหากมีการฟ้องหมิ่นประมาททั้งกฎหมายอาญา และกฎหมายคอมพิวเตอร์ นั่นหมายถึงผู้ถูกฟ้อง จะต้องรับโทษหนักขึ้น และถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้

ข้อสังเกตเรื่องความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง เมื่อเทียบกับคำว่า “ประทุษวาจา” วาทกรรมแห่งความเกลียดชังก็คือการเปิดช่องทางให้มีการตีความอย่างกว้างขวาง ซึ่งโดยความหมายของวาทกรรมแห่งความเกลียดชังนั้น ไม่อาจเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรได้ เนื่องจากยังมีความเข้าใจไม่ตรงกัน และวันข้างหน้าก็อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของคู่ขัดแย้งทางการเมืองได้ เช่นเดียวกับความผิดบางฐานที่กลายเป็นคดีความ ฟ้องกันไปฟ้องกันมาไม่รู้จบ

ในทัศนะของผมที่เคยได้ตอบงานวิจัยของ ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูตรณะนันท์ เห็นว่า การจัดการกับ Hate Speech ไม่อาจใช้กฎหมายมาเป็นหลักในการวินิจฉัยได้

เพราะจากสรุปความหมาย คำว่าความเกลียดชังในงานวิจัย  เขาอธิบายว่า คือการใช้คำพูดหรือการแสดงออกทางความหมายใดๆที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อโจมตีกลุ่มบุคคลหรือปัจเจกบุคคล โดยมุ่งไปที่ ฐานของอัตลักษณ์ซึ่งอาจจะติดตัวมาแต่ดั้งเดิม หรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้ เช่น เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว สถานที่เกิด/ที่อยู่อาศัยอุดมการณ์ทางการเมือง อาชีพ หรือลักษณะอื่นที่สามารถทำให้ถูกแบ่งแยกได้ การแสดงความเกลียดชังที่ปรากฏอาจเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรี หรือลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือยุยงส่งเสริมให้เกิดความเกลียดชัง ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงด้วยก็ได้

ความหมายของ Hate Speech แตกต่างจากการหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำ ในประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง แปลว่าการหมิ่นประมาทนั้น  ผลหรือความรู้สึกว่าถูกหมิ่นประมาทจะเกิดขึ้นทันที และก่อให้เกิดสิทธิในการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งหมิ่นประมาท และละเมิด อันเป็นจุดเริ่มต้นในการนับอายุความฟ้องร้องคดี

แต่ Hate Speech ไม่สามารถบอกได้ในขณะนั้นว่า เป็นวาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง จนกระทั่งนำไปสู่ความรุนแรง หรือลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันหรือไม่ เช่น การเปิดสถานีวิทยุยานเกราะก่อนยุค 6 ตุลา ให้ประชาชนฝ่ายที่ต่อต้านนักศึกษา มาออกอากาศพูดว่า ผู้ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นแกว เป็นญวน ไม่ใช่คนไทย หรือในธรรมศาสตร์เป็นที่ซ่องสุมอาวุธและกำลัง มีอุโมงค์ลับที่เชื่อมออกไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา

จนกระทั่งในที่สุด ทำให้กลุ่มชนจำนวนหนึ่งลุกฮือเข้าไปล้อมปราบนักศึกษา เข่นฆ่า ทารุณกรรมด้วยวิธีต่างๆทั้งที่เป็นคนเผ่าพันธุ์เดียวกัน ซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์จะไมมีวันทำเช่นนี้
ฉะนั้น หากจะนิยามให้ใกล้ความจริงมากที่สุด ก็ต้องบอกว่า Hate Speech คือวาทกรรมที่สร้างและสั่งสมความเกลียดชัง จนกระทั่งนำไปสู่ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ

และคงต้องทบทวนกันอย่างละเอียดรอบด้านอีกครั้ง แม้จะเห็นว่า Hate Speech คือความเลวร้ายชนิดใหม่ของสังคมไทย แต่ก็ไม่ควรให้ Hate Speech กลายเป็นเครื่องมือในการบิดเบือนและทำร้ายคนอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ชอบธรรม


Share:

ความตายที่แม่เมาะ



านหลายสิบปี ที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะสวมบทเพชฌฆาต หยิบยื่นความป่วยไข้ ความตายให้กับชาวบ้านแม่เมาะ ภาพเหล่านี้ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเทศกาลท่องเที่ยว ความบันเทิงและเสียงหัวเราะที่ซ่อนน้ำตาไว้ภายใน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด

เวลาเดินเร็วจนเราก้าวย่างเข้าปีใหม่มาได้เกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว แต่สำหรับผู้ป่วยชาวแม่เมาะที่ได้รับผล กระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าแม่เมาะยังคงรอคอยอย่างมีความหวังที่จะได้รับการเยียวยา

รายล่าสุดที่จากโลกนี้ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมาเป็น 1 ใน 4 ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบชุดแรกยื่นฟ้อง กฟผ.แม่เมาะ ให้เยียวยาความทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์จน ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจในการดำรงชีวิต

มาถึงวันนี้กลุ่มผู้ป่วยชุดแรกได้จากลาโลกนี้ไปหมดแล้ว แต่การเดินหน้าเพื่อเรียกร้องการเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ยื่นฟ้องเพิ่มอีกหนึ่งร้อยกว่าราย ยังคงรอความหวังจากกระบวนการยุติธรรมที่ กฟผ.ยื่นอุทธรณ์คดี โดยไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน และผู้ที่ได้รับผลกระทบจะอยู่รอวันนั้นได้ครบทุกคนหรือไม่ ยังคงเป็นคำถามที่รอคำตอบมานานนับสิบปี

ในขณะที่ กฟผ.แม่เมาะ ยื่นอุทธรณ์ต่อคำพิพากษาที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำตัดสินให้จ่ายค่าชดเชยให้เหยื่อ รายละ 240,000 บาท อาจจะดูเป็นเงินเพียงน้อยนิด แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นคนในพื้นที่ได้ผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ที่แต่ละปีมีผลกำไรมหาศาลนั้นเป็นเงินที่ผู้ได้รับผลกระทบควรได้ในยามที่เขา เหล่านั้นยังมีลมหายใจอยู่ หาใช่ได้รับการเยียวยาในยามที่เหลือแต่เพียงชื่อในฐานะโจทก์โดยที่ไม่รู้ว่า ความยุติธรรมที่เขาเหล่านั้นควรได้รับจะมาถึงเมื่อใด

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการก่อเกิดของโรงไฟฟ้าพลังไอน้ำแม่เมาะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่คนท้องถิ่นส่วนหนึ่ง มีชุมชนใหม่เกิดขึ้น มีการจ้างแรงงานคนในท้องถิ่น ในขณะที่ความรู้สึกหวาดหวั่นของชาวบ้านก็ถูกลบเลือนด้วยโฆษณาชวนเชื่อในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการเชื้อเชิญให้คนต่างถิ่นไปเที่ยวแม่เมาะที่ยังมีศักยภาพในการท่องเที่ยวสูงเทศกาลท่องเที่ยวแม่เมาะก็ไม่ต่างไปจากงานรื่นเริงบนแหล่งวัตถุดิบถ่านหินที่ซึมซับคราบน้ำตาของผู้ได้รับผลกระทบ

การมีอยู่ของโรงไฟฟ้าแม่เมาะอาจทำให้ลำปางเป็นพื้นที่ที่มีคุณค่าในเชิงเศรษฐกิจ และโรงไฟฟ้าแม่เมาะคงอยู่คู่กับคนลำปางต่อไปอีกยาวนานนับสิบปี จนกว่าวัตถุดิบถ่านหินจะหมดไป หรือเหลือจำนวนน้อยไม่เพียงพอในการผลิตกระแสไฟฟ้าอีก ถึงวันนั้นลำปางก็จะมีแหล่งท่องเที่ยวที่ยังอุดมสมบูรณ์ และคงความเป็นธรรมชาติอันงดงามไว้เหมือนแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอื่นๆของจังหวัดลำปาง ที่ยังไม่ถูกรุกรานจากคนต่างถิ่น

จาก แนวคิดในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับสิ่งก่อสร้างมากกว่าการ อนุรักษ์ธรรมชาติดั้งเดิม แร็ค ลานนาเชื่อว่าผู้บริหารโรงไฟฟ้าแม่เมาะคงไม่ซ่อนความจริงที่โหดร้ายไว้ เบื้องหลังเทศกาลงานรื่นเริงที่เหมือนทำนาบนหลังผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ โปรยเงินเพื่อสร้างภาพ

เทศกาลนี้จัดมาอย่างต่อเนื่องนับสิบปี ควบคู่มากับเสียงเรียกร้องของคนท้องถิ่นให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดูแลใส่ใจในผลกระทบอันอาจเกิดขึ้นจากการผลิตไฟฟ้า เช่นเดียวกับคนในท้องถิ่นอื่นๆ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน บ้านกรูด บ่อนอก อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ของ กฟผ. โรงไฟฟ้าที่บางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ของบริษัทสยามเอ็นเนอร์ยี จำกัด

พวกเขามีสิทธิที่จะเรียกร้อง และแสดงความกังวลห่วงใยในการที่คนต่างถิ่นไปใช้ผืนดินของเขา ทรัพยากรธรรมชาติของเขา ส่งออกความเจริญไปสู่คนในเมืองใหญ่ ทิ้งภาระเสี่ยงภัยไว้กับชาวบ้าน ตาสี ตาสา ที่ไม่มีพลังจะไปต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมใดๆ นอกจากยอมจำนน และยอมเชื่อในสิ่งที่ คนต่างถิ่นบอกพวกเขา


Share:

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

สับสนดินไหวเถิน สะพานถนนพัง



แผ่นดินไหวเถิน 3 วันติดต่อกัน ข่าวสับสนสะพานข้ามคลองชลประทานในอำเภอเมืองพัง  ผอ.โครงการส่งน้ำแม่วังฯโต้วุ่นยันไม่เกี่ยว แต่เป็นเหตุจากรถบรรทุกหนักขับผ่านประกอบกับสะพานสร้างมานาน 15 ปี  ขณะที่ทรัพยากรธรณีวิทยาระบุ แผ่นดินไหวไม่เกิน 3 ริกเตอร์ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย เพียงรับรู้ถึงแรงสั่งสะเทือนเท่านั้น  เป็นเรื่องดีที่รอยเลื่อนได้มีการปล่อยพลัง

จากกรณีที่เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างคึกคักผ่านทางโซเชียลมีเดียร์ เกี่ยวกับการเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่ ต.เวียงมอก อ.เถิน จ.ลำปาง เป็นเหตุให้สะพานขนาดกว้าง 6 เมตรยาว 11 เมตร ข้ามคลองชลประทาน ทางไปวัดม่อนพระยาแช่ บ้านพิชัย หมู่ 1 ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง พังทลายลงทั้งแถบ ทำให้รถไม่สามารถวิ่งได้ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลจากสำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตินิยมวิทยา ได้รายงานการเกิดแผ่นไหวในพื้นที่ จ.ลำปาง พบว่าแผ่นดินไหวได้เกิดขึ้นติดต่อกันแล้ว 3 วัน ที่ ต.เวียงมอก อ.เถิน จ.ลำปาง เมื่อวันที่ 19 ม.ค.58 เวลา 01.08 น. ขนาด 2.9 ริกเตอร์ และวันเดียวกันเวลา 21.04 น. ขนาด 2.8 ริกเตอร์   และวันที่ 21 ม.ค.58 เวลา 13.57 น. ขนาด 2.3 ริกเตอร์   

ซึ่งหลังจากมีกระแสข่าวการพังทลายของสะพานโดยมีสาเหตุจากแผ่นดินไหวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง นายสมบูรณ์ โฆษิตานนท์ ผู้อำนวยการสำนักธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมธรณีพิบัติภัยกรมทรัพยากรธรณี เปิดเผยว่า การเกิดแผนดินไหวในพื้นที่ภาคเหนือหลายวันที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่รอยเลื่อนต่างๆได้มีการปลดปล่อยพลังงานออกมา ซึ่งประชาชนสามารถรับรู้ได้เพียงเบาบางเท่านั้น เพราะการสั่นสะเทือนไม่เกิน 3 ริกเตอร์ ไม่สามารถสร้างความเสียหายได้  ประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนก โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.เถิน ซึ่งไหวติดต่อกันสองวัน ทางเจ้าหน้าที่ สำนักทรัพยกรธรณี เขต 1 ลำปาง ได้ลงพื้นที่สำรวจแล้ว ไม่น่าจะสร้างความเสียหายแก่โครงสร้างอาคารต่างๆได้ แต่ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจ ก็จะได้เร่งสำรวจชั้นดินในพื้นที่เกิดแผ่นดินไหว เพื่อหามาตรการเตรียมพร้อมรับมือภัยธรรมชาติต่อไป

ด้านนางสาวนลินี ธะนันต์ นักธรณีวิทยา สำนักทรัพยากรธรณี เขต 1 ลำปาง กล่าวว่า หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่ ต.เวียงมอก อ.เถิน ซึ่งไม่พบว่ามีความเสียหายต่ออาคารสิ่งปลูกสร้างแต่อย่างใด เพียงแต่รับรู้และความรู้สึกได้เท่านั้น และรัศมีรับรู้ได้ไม่เกิน 20 กิโลเมตร  กรณีที่จะทำให้สิ่งปลูกสร้างในเขต อ.เมืองพังไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะ จ.สุโขทัยที่อยู่เขตติดต่อกับเถินใกล้เคียงกว่าก็ยังไม่รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน

ขณะเดียวกันนายบัญชา  แสนศักดิ์  ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่วัง ออกมาระบุย้ำถึงสาเหตุของการที่สะพานคอนกรีต ข้ามคลองชลประทานไปยังวัดม่อนพระยาแช่เกิดทรุดตัวลงจนไม่สามารถใช้งานได้ และทางโครงการฯต้องนำป้ายอันตรายห้ามใช้สะพานชั่วคราว และห้ามรถบรรทุกผ่าน มาปักไว้ว่าเกิดจากแผ่นดินไหวนั้น ตนเองยืนยันว่าสาเหตุไม่ได้เกิดจากแผ่นดินไหวแต่อย่างใด แต่สาเหตุหลักคือการที่มีรถบรรทุกดินวิ่งผ่านเข้าออกสะพานดังกล่าวจำนวนมาก และสะพานได้ก่อสร้างมานานเป็นสะพานแบบเก่าที่ไม่ได้สร้างเพื่อรองรับน้ำหนักของรถบรรทุกขนาดใหญ่ และดินใต้สะพานก็ทรุดตัวด้วยจนทำให้สะพานทรุดตัวตาม

เบื้อง ต้นในขณะนี้ตนเองได้ทำหนังสือไปยังศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต10ลำปาง เพื่อขอสนับสนุนสะพานแบริ่งมาใช้เป็นการชั่วคราวเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับ ประชาชนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเพื่อให้ใช้สัญจรผ่านไปมาก่อน ซึ่งตนเองได้เสนอรายงานถึง ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่2ลำปางแล้ว เพื่อขออนุมัติงบประมาณเร่งด่วนในการรื้อถอนและก่อสร้างสะพานดังกล่าว แต่ยังไม่ทราบว่าจะเริ่มดำเนินการได้เมื่อไร  หากได้รับการอนุมัติก็จะเร่งดำเนินการทันที โดยสะพานที่จะสร้างขึ้นมาใหม่จะต้องปรับแบบให้ได้มาตรฐานคือความกว้าง 8-10 เมตร ยาว 15 เมตร และต้องดูสภาพพื้นที่ประกอบด้วยว่าจะต้องมีปรับเรื่องใดเพิ่มเติมเพื่อไม้ให้เกิดปัญหาขึ้นในระยะยาวต่อไป

ด้านนายธงชัย กิจจะคณารักษ์ หัวหน้าฝ่ายส่งน้ำที่ 2 แม่วัง กล่าวเพิ่มเติมว่า สะพานคอนกรีตดังกล่าวสร้างมานานกว่า 15 ปี ซึ่งวิศวกรในสมัยก่อนได้สร้างเป็นแบบเก่า เนื่องจากยังไม่มีการใช้งานหรือรถวิ่งผ่านมากนัก จึงก่อสร้างแบบไม่ตอกเสาเข็ม และใช้แบบฐานแผ่ ขนาดสะพานกว้าง 6 เมตร ยาว 11 เมตร แต่เมื่อสองสามปีที่ผ่านมาบริเวณฝั่งตรงข้ามมีการเปิดบ่อดิน จึงทำให้มีรถบรรทุกดิน ซึ่งมีน้ำหนักมากวิ่งเข้าออกสะพานดังกล่าวจำนวนมาก จึงทำให้สะพานซึ่งไม่ได้ออกแบบให้มารับน้ำหนักจำนวนมาก ประกอบกับดินบริเวณใต้สะพานร่วนเนื่องจากอยู่ติดกับคลองส่งน้ำจึงทำให้เกิดทรุดตัวลง ทั้งสองข้าง พร้อมยืนยันว่าการที่สะพานหักไม่ได้เกิดจากเหตุแผ่นดินไหวแต่อย่างใด

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1013 ประจำวันที่ 23 - 29 มกราคม 2558)   



Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์